เมื่อลูกเริ่มโตและเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นในช่วงอายุประมาณ 12-13 ปี โดยเฉพาะในเพศหญิงจะเข้าสู่วัยรุ่นเร็วกว่าเพศชายประมาณ 2 ปี และจะเกิดการพัฒนาไปจนถึงอายุประมาณ 18 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่ายกายมากที่สุด สำหรับเด็กบางคนอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายก่อนช่วงอายุ 12-13 ปี ซึ่งเราจะเรียกว่าภาวะ
เป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย แต่พ่อแม่หลายคนอาจจะยังมีความสงสัยและไม่มีความรู้และเข้าใจมากนักวันนี้เราจะพามาทำความรู้ภาวะนี้กันครับ
ภาวะ
เป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย คือการที่เด็กหญิงเริ่มมีการพัฒนาของเต้านมก่อนอายุ 8 ปี หรือมีประจำเดือนครั้งแรกก่อนอายุ 9 ปี ส่วนเพศชายมีขนาดอัณฑะโตหรือมีลักษณะอื่นๆ เช่น เสียงแหบห้าว มีกลิ่นตัว ปรากฏให้เห็นก่อนอายุ 9 ปี พบในเพศหญิงได้บ่อยกว่าเพศชาย แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าปัจจัยใดเป็นตัวควบคุมการเข้าสู่วัยหนุ่มสาวก่อนวัย แต่เชื่อว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่มีส่วนเกี่ยวข้องปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่ ปัจจัยทางพันธุกรรม หากพ่อแม่มีประวัติเข้าวัยหนุ่มสาวเร็ว ลูกก็จะเป็นหนุ่มสาวเร็วด้วย นอกจากนี้ปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ซึ่งอาจมีผลต่อการเข้าวัยหนุ่มสาวก่อนวัย ได้แก่ ภาวะโภชนาการ เด็กอ้วนมักจะเป็นหนุ่มสาวเร็ว การได้รับสารหรืออาหารที่ปนเปื้อนฮอร์โมน ไม่ว่าจะเป็นโดยการรับประทาน หรือทางอื่น ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งในหลายๆ ปัจจัย ที่ทำให้เด็กเป็นหนุ่มสาวเร็วขึ้นในปัจจุบัน
ผลกระทบของภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย ด้านร่างกาย การที่เด็กมีฮอร์โมนเพศในปริมาณสูงกว่าปกติ จะทำให้เด็กโตเร็วกว่าเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน ฮอร์โมนเพศจะทำให้กระดูกโตเร็วและปิดเร็ว และหยุดการเจริญเติบโต สิ่งที่ตามมาคือ ระยะเวลาการเจริญเติบโตในวัยเด็กจะสั้นลงกว่าเด็กปกติ ทำให้เตี้ยเมื่อเป็นผู้ใหญ่
ด้านจิตใจ ในเด็กหญิง เด็กกลุ่มนี้จะมีสรีระร่างกายภายนอกเป็นสาววัยรุ่น ในขณะที่จิตใจยังเป็นเด็ก ทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันระหว่างวุฒิภาวะทางร่างกายและจิตใจ อาจนำไปสู่การล่อลวงได้ง่าย นอกจากนี้ เด็กอาจจะรู้สึกว่าตัวเองมีรูปร่างแตกต่างไปจากเพื่อนๆ วัยเดียวกัน อาจจะทำให้โดนล้อเลียนและมีพฤติกรรมแยกตัว ในบางรายอาจมีปัญหาในเรื่องของการดูแลประจำเดือน ทำให้เด็กกลุ่มนี้ไม่อยากไปโรงเรียนตามมา ในเด็กชาย เนื่องจากฮอร์โมนเพศชายสูงกว่าปกติ นำไปสู่การมีพฤติกรรมก้าวร้าว อารมณ์รุนแรง และมีอารมณ์ทางเพศ
การเฝ้าสังเกตพัฒนาการทางด้านอารมณ์และการเจริญเติบโตทางร่างกายของลูกเป็นสิ่งที่พ่อแม่ไม่ควรละเลยและมองข้าม ต้องหมั่นคุยกับลูกบ่อยๆ และสอนให้ลูกไม่อายที่จะบอกหรือถามเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เพราะหากเกิดภาวะดังกล่าวขึ้นจะได้รีบไปปรึกษาแพทย์และทำการรักษาได้ทันเวลาครับ